ท้ายเหมือง-เขาหลัก-ตะกั่วป่า ‘เที่ยวพังงา’ นอน PullMan

เบอร์ 1: การเดินทางสู่จุดหมายใหม่ในพังงา

ท้ายเหมือง-เขาหลัก-ตะกั่วป่า 'เที่ยวพังงา' นอน PullMan

หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การเดินทางที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามและบรรยากาศที่เงียบสงบในประเทศไทย พังงาเป็นหนึ่งในที่แนะนำที่คุณไม่ควรพลาดเลย! ในบทความนี้เราจะพาคุณไปสัมผัสกับความงดงามของท้ายเหมือง และเขาหลัก สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและตะกั่วป่าที่ทรงพลังเป็นอย่างมากในพังงา

เบอร์ 2: ท้ายเหมือง – ปณิธานที่สามารถพบได้ที่นี่

ท้ายเหมืองเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองพังงา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่หลายสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ ที่นี่คุณจะพบกับชุมชนชาวไทยที่อบอุ่นและเป็นมิตร สามารถสำรวจชนบทที่เงียบสงบและมีความสงบสุขของชีวิตไทยได้อย่างใกล้ชิด

เบอร์ 3: บรรยากาศริมทะเลที่สวยงามที่เขาหลัก

ท้ายเหมือง-เขาหลัก-ตะกั่วป่า 'เที่ยวพังงา' นอน PullMan

เขาหลักเป็นทิวเขาที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอันดามัน ในพื้นที่นี้คุณจะได้สัมผัสกับวิวที่ยามเย็นสุดโรแมนติกของทะเลอันดามัน สามารถเดินป่าและสัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวมากมายเช่นการขึ้นเขาหลักชมวิวทะเลอันดามัน การดำน้ำตื้นและดำน้ำกลางแจ้ง ที่จะทำให้คุณเกิดความประทับใจและความสุขที่หาไม่ได้ในที่อื่น

เบอร์ 4: สัมผัสกับธรรมชาติที่วิเศษในตะกั่วป่า

ตะกั่วป่าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอันดามัน ที่นี่คุณจะได้พบกับป่าชื้นที่สมบูรณ์และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าและพืชที่หายาก คุณสามารถเดินป่าในเส้นทางที่มีสัญลักษณ์ที่ช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่งดงามและบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่คุณสามารถนั่งเล่นและผ่อนคลายกลางธรรมชาติได้อย่างสบายใจ

เบอร์ 5: Pullman – รีสอร์ทชั้นนำที่พังงา

ท้ายเหมือง-เขาหลัก-ตะกั่วป่า 'เที่ยวพังงา' นอน PullMan

หากคุณกำลังมองหาที่พักที่มีความสะดวกสบายและบริการที่มีมาตรฐานสูงในพังงา ไม่มีอะไรที่ดีกว่าการเข้าพักที่ Pullman Resort ที่ตั้งอยู่ในที่ที่ดีที่สุดของพังงา รีสอร์ทนี้มีห้องพักที่สวยงามและหลากหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เข้าพักทุกคนได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเช่น สระว่ายน้ำส่วนตัว สปา ฟิตเนส และร้านอาหารที่มีอาหารอร่อยและคุณภาพ

เบอร์ 6: คำแนะนำสำหรับการเที่ยวในพังงา

  • ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนการเดินทางและใช้เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ
  • ใช้รถเช่าหรือบริการรถตู้ในการเดินทางระหว่างสถานที่ท่องเที่ยว
  • ไม่ละเมิดกฎระเบียบและรักษาความสงบสุขของสถานที่ท่องเที่ยว
  • รักษาความสะอาดและรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยว
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้นำท้องถิ่นและพนักงานท่องเที่ยว

เบอร์ 7: คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

Pullman Khao Lak Resort ที่พักเขาหลักพังงา สวยๆสบายๆ พนักงานน่ารัก - รีวิว  รีวิวพังงา

  1. Q: อะไรคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเยี่ยมชมพังงา?
    • A: เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงฤดูร้อนและแห้งของประเทศไทย ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน เนื่องจากอากาศร้อนและแห้งมีแดดส่องแรงและเงินฝนน้อย
  2. Q: มีกิจกรรมใดที่น่าสนใจในพังงา?
    • A: มีกิจกรรมมากมายที่น่าสนใจ เช่น การล่องเรือไปชมหมู่เกาะอันดามัน การดำน้ำตื้น การปีนเขาหลัก การเดินป่าในตะกั่วป่า และการเยี่ยมชมน้ำตกในพื้นที่
  3. Q: อาหารไทยที่ควรลองในพังงาคืออะไร?
    • A: ควรลองอาหารท้องถิ่นเช่น ข้าวมันไก่ ผัดไทย ต้มยำกุ้ง และส้มตำ เป็นต้น
  4. Q: มีที่พักอื่นๆที่แนะนำในพังงาไหม?
    • A: นอกจาก Pullman Resort ยังมีที่พักหลายแห่งเช่น โรงแรมระดับสากล รีสอร์ทบรรยากาศเป็นธรรมชาติ และเกสต์เฮาส์
  5. Q: มีกิจกรรมนอกสถานที่ในพังงาไหม?
    • A: ใช่ คุณสามารถท่องเที่ยวเกาะสิมิและเกาะพีพี ไปชมอ่าวไทย-อันดามัน หรือไปเยี่ยมชมเมืองกระบี่ได้ในวันที่ไม่ได้เดินทางไปที่สถานที่ท่องเที่ยวในพังงา

Get Access Now: https://bit.ly/J_Umma

สรุป

พังงาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจในประเทศไทย ท้ายเหมือง เขาหลัก และตะกั่วป่าเป็นสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาที่นี่ อย่างแน่นอนว่าคุณจะได้สัมผัสกับความงดงามและความสงบสุขของธรรมชาติที่นี่ อย่ารอช้า มาสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวในพังงากันเถอะ!

ท้ายเหมือง-เขาหลัก-ตะกั่วป่า ‘เที่ยวพังงา’ นอน PullMan [VIDEO]

“พังงา ยังสดอยู่’
—————-

หลังเดินทางกลับจากทริปนี้
ประโยคนี้ก็ยังคงวนเวียน
ติดค้างในหัวผมอยู่หลายวัน

เพราะยังไม่เคยได้ไปเที่ยวจังหวัดนี้อย่างจริงจัง(แบบทริปนี้))สักที

ไปกี่ทีก็ได้แค่โฉบๆ
แล้วก็กลับเข้ามานอนที่ภูเก็ต

ผมแค่เคยได้ยินว่าที่จังหวัดพังงา
มีคลองน้ำใสแจ๋วให้ล่องแพ

แต่ก็เพิ่งจะมาเห็นด้วยตาว่า
ความสุดในบรรยกาศของการล่องแพที่นี่

อยู่ในระดับ ‘ไม่ธรรมดา’
เพราะเป็นมหาโคตรของความ ‘ชิว’ จริงๆ

——–

แล้วอีกอย่างก็คือ…เพิ่งจะมารู้ว่าทำไม
คนเมืองถึงแห่ไปเล่นเสิร์ฟที่เขาหลักกันตั้งแต่ช่วงกลางปีทีแล้ว..

เยอะขนาดที่ว่าไถฟีดเฟสบุ๊ค/ไอจีช่วงวีคเอนด์
ก็พบเจอแต่รูปเพื่อน รูปคนรู้จักกำลังหัดเรียนหัดเล่นเสิร์ฟกันอยู่ที่นั่น

มาเจอว่า อ่อ…

ก็เพราะความรู้สึกตอนเวลาได้ขึ้นไปยืนบนกระดาน
แล้วปล่อยให้พลังธรรมชาติอย่างคลื่นซัดเข้าหาฝั่งนั้น

‘มันรู้สึกดีจริงๆนะครับคุณ’

(ถ้าไม่ลื่นหัวคว่ำตกน้ำไปซะก่อน)

————

ความรู้สึกดีๆ ต่อจังหวัดนี้ยังเลยเถิดไปถึงถนนคนเดินวันอาทิตย์
ที่อำเภอตะกั่วป่า

ที่พอได้ไปเยือนยันหัวจรดท้ายถนนแล้ว
มันให้อารมณ์ติดกลับมาทำนองว่า

‘เออเฮ้ย! ไม่เฟคดีหว่ะ’

จากความไม่ดัดจริตมากมายในบรรยกาศ
จากข้าว จากของ จากอาหารบ้านๆที่ขาย
ไปจนถึงวิถีคนท้องถิ่นที่หาชมได้ง่ายๆ

แบบไม่ต้องเสียเวลาค้นหาอะไรให้มันมากมายนัก

——–

สุดท้ายนี้

สิ่งที่ทำให้ทริปนี้ดูสมบูรณ์แบบไปกันใหญ่

ก็คือการได้ไปนั่ง ไปนอน ไปพักผ่อนในที่ดีดี
ที่โรงแรมเปิดใหม่อย่าง Pullman Khao Lak Resort
(พูลแมน เขาหลัก รีสอร์ท)
www.pullmankhaolakresort.com

รีสอร์ทและวิลล่าหรูของจังหวัดพังงา
ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อช่วงสิ้นปีที่ที่ผ่านมานี่เอง

ที่ที่ผมพอจะบอกได้แค่ว่า
‘ความหอมกลิ่นใหม่’ และ ‘วิวพระอาทิตย์ตก’ ของที่นี่

ทำให้ทริปนี้…
จบลงอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ

#จนกว่าจะพบกันใหม่
#กรุณากดHDเพื่อความคมชัด
#ManHere Love #พังงา
#PullmanKhaoLakResort”

เนื้อหาของวิดีโอ ท้ายเหมือง-เขาหลัก-ตะกั่วป่า ‘เที่ยวพังงา’ นอน PullMan

สวัสดีครับ สบายดีกันไหมครับทุกคน ช่วงนี้อากาศก็ร้อนทีเดียว จัดว่าร้อนถึงร้อนมากเลยก็ว่าได้ ในวันนี้ผมก็เลยมีเรื่องเรื่องนึงครับ ที่อยากจะนำทุกคนไปเที่ยวทะเลกัน ดูจากชื่อเรื่องก็คงจะรู้แล้วนะครับ ว่าเกี่ยวกับอะไร ใช่ครับ เกี่ยวกับเหตุการณ์สึนามิ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน เรื่องราวทั้งหมด ถูกบอกเล่า ผ่านคำบอกเล่าของน้องผู้หญิงคนนึง ที่เธอไปประสบกับตัวมาเอง เรื่องจะหลอนและน่ากลัวแค่ไหน ผมเชื่อว่าทุกคนคงอยากจะฟังกันแล้ว เอาล่ะครับ ไหนตอนนี้ ทุกคนพร้อมกันแล้ว ผมก็ขอให้ทุกคนปิด แล้วก็ เดินตามผม ไปที่เขาหลักกันเลยครับ โรงแรม ไม่เขาหลัก เครื่องมันเริ่มจากที่ว่า เราไม่ได้อยู่ประเทศไทยเลย นานๆที ถึงจะมีโอกาสกลับ ไทยประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้ง ก็จะกลับไปแล้วแต่โอกาส เพราะแต่ละปี มีกลับไปสอบมหาลัย ซึ่งเรียนที่ไทยไว้ และส่วนมาก จะกลับไปเที่ยว ไปเยี่ยมคุณยาย เจอเพื่อนฝูง และเรื่องในครั้งนี้ มันก็เกิดขึ้นตอนที่เรากลับไปสอบพอดี เมื่อปีที่แล้ว ประมาณปลายเดือนสิงหาคม ปี 2558 ตอนนั้น ตรงกับช่วงวันเกิดของเราที่อายุ 25 ปี หรือเบญจเพศนั่นเอง ก่อนหน้านั้นมีคนเตือนเยอะแยะมากมาย เรื่องเบญจเพสว่า ให้ระวังนะ อย่าไปไหนไกลๆ อย่าทำอะไรที่มันท้าทาย อย่าซ่าให้มันมากนัก หรืออะไรอีกเยอะแยะ และเราก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง เพราะเราก็มองอีกมุมหนึ่งว่า ไม่เห็นน่าจะมีอะไรเลย เพราะก่อนหน้านั้นเราก็พบเจอเรื่องอะไรมามากมายพอสม ควร พอเรากลับไปไทย สอบซ่อมเสร็จได้ไม่กี่วัน ทางหัวหน้าที่เราทำงานอยู่ ก็ได้ติดต่อมาว่า เขากำลังจะมาไทย มาทำงานงานนึง ซึ่งเขาก็อยากให้งานออกมาดี และสามารถคุยกับลูกค้า ทำโปรแกรมออกมาให้ได้จากรายละเอียดจริง เขาต้องการอยากให้เราช่วยเขาดูงาน และถือเป็นการเที่ยวย้อนหลังวันเกิดเราด้วย ซึ่งเราก็ดีใจ และคิดว่า เฮ้ย มาไทยเที่ยวนี้ ได้ไปต่างจังหวัดแล้วไปเที่ยวฟรีด้วย ก็เลยตอบตกลงเขาไป ในการเดินทางนั้น เราไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางหรืออะไรเลยสักบาท คลิปนี้ โปรแกรมฟรี 3 วัน 2 คืน สถานที่คือโรงแรมหรู 6 ดาวเลยที่เขาหลัก จังหวัดพังงา ซึ่งทุกคนคงทราบกันอยู่แล้วว่า เกิดสึนามิขึ้น เกือบประมาณ 10 ปีที่แล้วได้ มันก็ขึ้นชื่ออยู่แล้ว ว่าดังเรื่องวิญญาณจากการที่มีคนเสียชีวิตเยอะมากที่สุด แต่ด้วยที่หัวหน้าเป็นคนต่างชาติ และเขาก็ชอบรูปรีวิวจากโรงแรมนี้มาก เขาเลยตัดสินใจ เลือกโรงแรมนี้ เพื่อจะนำไปเสนอลูกค้า VIP ของเขาเอง วันเดินทางเรานัดเจอกับหัวหน้าที่สนามบิน บินไฟท์เดียวกัน และที่ตกใจก็คือ ยังซื้อตั๋วให้ลูกน้องเป็น business class อีกด้วย ในใจเรานี่ก็ยิ้มเลย เป็นการทำงานที่สบายสุด พอมาถึงสนามบินที่ภูเก็ต เราเดินออกมาหาคนขับรถของโรงแรม ซึ่งมาจอดรอรับอยู่แล้ว ระหว่างเดินทางจากภูเก็ต ไปยังเขาหลักนั้น เดินทางด้วยรถประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ พอเข้ามาเขาล่ะ เราก็เริ่มคิดถึงเรื่องเสื้อไม่มีเข้ามาในหัวทันที ยิ่งพอเลี้ยวรถเข้าโรงแรมมานั้น ในซอยที่เปลี่ยวมาก นี่จะสร้างบ้านเก่าๆที่ไม่มีคนอยู่แล้ว ทางเข้ามีแต่ป่าหญ้ารกรุงรัง แต่ด้วยที่มันยังสว่างเพราะเป็นกลางวันอยู่ มันยังทำให้เรายังมองว่ามันเป็นธรรมชาติ สงบอยู่ แต่เมื่อได้เห็นบ้านไม้ หรือสร้างบ้านทีไรก็ทำให้เราขนหัวลุก และจินตนาการไปทุกที พอถึงโรงแรมเราก็ได้พบเจอกับความหรูหรามาก พนักงานมาต้อนรับเป็นอย่างดี เช็คอินเสร็จ พนักงานได้มี Package Dinner สุดพิเศษมาขาย ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่า อยากทานดินเนอร์ส่วนตัวที่เนินทรายสูงบนริมทะเล ดินเนอร์กลางสระน้ำของโรงแรม หรือดินเนอร์ในถ้ำกลางน้ำตก ซึ่งต้องนั่งรถออกไป และหัวหน้าเรา ก็ได้เลือก Dinner ที่น้ำตกส่วนตัวไป เพื่อนำไปเสนอให้ลูกค้า VIP คู่รักสุดพิเศษ แต่คิวของเราได้วันที่ 2 ของทริปนี้ เพราะวันที่เรามาถึงนั้น ได้มีลูกค้าจองไปแล้วล่วงหน้า ซึ่ง 1 วันจะสามารถรับลูกค้าได้แค่คู่เดียวต่อแพ็คเกจเท่านั้น ช่วงที่เรามาถึงโรงแรมก็บ่ายแก่ๆแล้ว เรากับหัวหน้าได้วิลล่าฝั่งซ้าย ของโรงแรม ซึ่งบรรยากาศคือธรรมชาติสุดๆ ส่วนตัวมากๆ และที่สำคัญ ไม่มีลูกค้าคนไทยเลย มันเงียบมาก เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ ห้องพักแต่ละห้องนั้น อยู่ห่างกันออกไปพอสมควร ควร ในส่วนของตัววิลล่านั้นจะมีอ่างจากุชชี่อยู่ด้านนอก 1 อ่ะ และในห้องอีก 1 อ่าง มีห้องรับแขกที่โซฟายาวมากเป็นตัว L ส่วนห้องนอนนั้นเตียงใหญ่มาก ห้องอาบน้ำหรูหรา มีอ่างล้างหน้า 2 อ่างข้างๆกัน อ่างจากุชชี่อยู่ปลายเตียง ฝาผนังกั้นตรงกลาง เรานอนโซฟาด้านนอก ตรงห้องรับแขก ส่วนหัวหน้านั้น เราให้เขานอนในห้องนอนคนเดียวไป พ่อเก็บของเสร็จ เราก็เริ่มถ่ายรูปเก็บรายละเอียดของห้องพัก และบรรยากาศโรงแรมโดยทั่ว ตอนเย็นก็ไปเดินเล่นริมหาดไม่ได้มีอะไร และตอนนั้น เราลืมไหว้ศาลเจ้าที่ เราไม่กล้าเดินไปถามพนักงานด้วย เราเลยยกมือหน้าห้อง บอกกล่าวว่าเรามาดีเราไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ขออนุญาตนอนพักที่นี่ ขอบฟ้าเริ่มมืด ก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เรากับหัวหน้าเป็นผู้ที่ทานอาหารเย็นช้ามากพอสมควร โรงแรมกับในเมืองค่อนข้างห่างกันมาก เล่าเลยตกลงกันว่า งั้นหากินในโรงแรม ไม่ก็แถวๆริมหาดใกล้ๆโรงแรมกันเอาเนอะ แต่เราสองคนค่อนข้างอยากอาหารทะเลมาก เลยเดินออกมาที่ชายหาด และเดินไปทานอาหารทะเลร้านข้างๆโรงแรม สงสัยช่วงนั้นจะเป็นช่วง Low season เลยไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ ในร้านนั้นเหมือนจะมีลูกค้าอยู่ 2 โต๊ะ เรากับหัวหน้าก็ตัดสินใจกินกันที่นี่แหละ เพราะมองไปเหมือนจะมืดแล้วเงียบมาก ร้านนี้ค่อนข้างกว้างขวางได้ใหญ่ สมควร บรรยากาศสบายๆ พอเราทานอาหารกันเสร็จ เราก็ยังถ่ายรูปเล่นกันอยู่ ซึ่งพอดูเวลามันประมาณ 3 ทุ่มกว่าแล้ว เราเลยเดินกลับกัน ระหว่างนั้น หัวหน้าก็ยังเดินเล่นชายหาดที่มืดและเงียบสนิท แกบอกว่านานๆทีจะได้เจอบรรยากาศแบบนี้ แต่ด้วยความที่เรากลัวความมืดมาก เราเลยรีบตะโกนเรียกให้เขากลับที่พัก โดยที่เราลืมไปสนิทว่า ถ้าจะชวนใครหรืออะไรตอนกลางคืนเราต้องเรียกชื่อด้วย มิเช่นนั้น จะมีบุคคลที่สามโผล่มาได้ เราก็ตะโกนบอกหัวหน้าเฉยๆว่า กลับห้องกันเถอะ และเราก็เดินกลับกัน โดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรืออะไรเลย แค่รู้สึกเพียงว่า ระหว่างหาดมาถึงที่พัก ทำไมมันมืดแล้วเงียบแบบนี้ ดูจากบรรยากาศแล้ว ทุกคนคงจะเข้าที่พักกันหมดแล้วล่ะ ระหว่างที่หัวหน้าไปอาบน้ำนั้น เราก็ออกมาโทรศัพท์เม้าท์มอยกับเพื่อนที่เก้าอี้ริมอ่างจากุชชี่ด้านนอก ซึ่งเปิดม่านไว้ เพื่อให้ไฟในห้องรับแขกส่องแสงออกมา พ่อเราคุยไปได้สักพัก เราก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนจ้องจากด้านหลังที่เรานั่ง พ่อคุยไปก็ขนลุกไปเป็นช่วงช่วง เราก็คิดว่า สงสัยอากาศจะเย็นๆ น้ำค้างลง แต่ความรู้สึกมันหวิวๆมากค่ะ เราเลยตัดสินใจมองไปด้านหลัง ก็เจอแกพุ่มไม้ที่มืด ไฟสว่างไปไม่ถึงแค่นั้นเอง แต่ด้วยความกลัวที่มันมีมาก เราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปคุยต่อ ในห้องรับแขกแทน รีบปิดม่านตรงนั้นทันที ขอสักเที่ยงคืนกว่า หัวหน้าก็ได้เข้านอนไปก่อน แต่เรายังไม่ง่วง และเปิดทีวีดูที่ห้องรับแขก ก็กะว่านอนดูอะไรไป แล้วก็จะเปิดทีวีค้างไว้แบบนั้นเลย ตอนนั้นเหมือนเรากำลังติด Club Friday มากๆ เลยนั่งดูแบบใจจดใจจ่อ พอเริ่มเรื่องไปได้สักพัก เราก็ได้ยินเสียงดังก๊อก เว้นช่วงสักพักใหญ่ๆ แล้วก็ได้ยินเสียงดังก๊อกอีก เสียงมันจะเหมือนอะไรกระแทกพื้นไม้อ่ะค่ะ เพราะในห้องนั้นมันจะเป็นพื้นไม้หมด เสียงนี้ดังจะไปห้องนอนของหัวหน้า ออกมาเรื่อยๆ จนถึงห้องรับแขกอ่ะค่ะ เรานั่งดูไปได้สักพัก เสียงมันไล่มาเรื่อยๆ จนหยุดที่หลังโซฟา ที่เรากำลังนั่งพิง และเสียงก็เงียบหายไป ด้วยความกลัว เหล้าหรือวิ่งไปที่หน้าทีวี ตั้งสติ กินผลไม้เพื่อเปลี่ยนความสนใจ แต่ก็ผ่านไป 1 ชั่วโมง เสียงได้เงียบไปแล้วจริงๆ เราเลยไปนอนโซฟาที่เดิม แล้วก็เผลอหลับไป ระหว่างที่เรากำลังนอนไปได้สักพัก ความรู้สึกของเรามันเหมือนโดนผีอำ ขยับตัวไม่ได้ โดยส่วนตัวนั้นสวดมนต์ได้ไม่กี่บท เพราะเป็นคนไม่ได้ไหว้พระทุกวัน ความรู้สึกตอนนั้นคือ โดนแล้วแน่ๆ เลยคิดอะไรออกก็สวนไปมั่วๆ แต่เสียงที่ได้ยินกลับมา มันกลับเป็นเสียงหัวเราะ ของผู้หญิงแหลม เสียงหัวเราะเหมือนท้าทายหรือไม่กลัวเลย และเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเราใส่สร้อยพระ ที่ได้จากวัดไทยในต่างประเทศอยู่เส้นหนึ่ง ตอนที่เรากำลังท่องบทสวดอยู่นั้น มีความรู้สึกได้ว่า โดนกระชากสร้อยพระขึ้นอย่างแรง คือสายสร้อยมันจะเป็นเหมือนเชือกสายสิญจน์เส้นหนาค่ะ ความรู้สึกเหมือนโดนดึงกระตุก เพราะตอนนั้นเราขยับตัวได้ รีบเอามือจับสร้อยไว้ แต่ยังไม่กล้าลืมตา เพราะไม่รู้ว่า จะต้องเจออะไร นานพอสมควร ที่เหมือนต้องฝืนดึงไม่ให้สร้อยมันขาด ขอสักพัก ทุกอย่างก็กลับมาปกติ เหมือนเสียงและผู้หญิงคนนั้นได้หายไปแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนท่านอนมาเป็นนอนตะแคง เพราะเคยได้ยินว่า ถนนหงายมันจะง่ายต่อการโดนผีอำ ก็นอนตะแคง แล้วก็หลับไปได้สักพัก ก็รู้สึกอีกว่า โดนกะตุกสร้อยพระอีกแล้ว แต่คราวนี้มันแรงมากและแรงกว่าเดิม เราเลยเอามือมาจับพระไว้และลองลืมตาดู ก็เห็นภาพผู้หญิงฝรั่งผมยาวๆมาอยู่ตรงหน้า สภาพตอนนั้นคือ เห็นในเฟซที่มันสลัวสลัวไม่ชัดมากนะคะ คือตอนนั้นร้องกรี๊ดออกมา แต่เหมือนเสียงมันจะไม่ออก ร้องตะโกนเรียกหัวหน้าดำมากแต่เขาก็ไม่เห็นมาในใจเราก็คิดว่าโดนหนักแล้วแน่ๆ ระหว่างนั้นเราก็คิดถึงบรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพไหว้ทั้งหมด แต่นางก็ไม่ยอมไปเราเลยช่างนางไปว่า จะไม่ให้ไปผุดไปเกิดอีกเลย อยู่ที่นี่ไปตลอดทุกชาติเถอะ สักพัก เหมือนนางก็หายไป วิ่งไปที่ห้องหัวหน้าและปลุกคำว่าช่วยเราด้วยเมื่อกี้รถโดนผีหลอก แต่หัวหน้าของเราเขาก็ทำตัวเหมือนไม่เชื่อ แล้วก็บอกว่าเราคงจะเหนื่อยมากเกินไป และอาจจำหน้าใครที่โรงแรมมาหรือเปล่าแล้วเอาไปฝัน คือคนต่างชาติปกติ เขาก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งลี้ลับอะไรกันเท่าไหร่อยู่แล้ว เขาก็บอกให้เราไปนอน เราก็เลยถามเขาไปว่า ที่เราร้องไห้ตะโกนหา ไม่ได้ยินเลยเหรอ เรารู้สึกเหนื่อยมาก และร้องไห้หนักมาก เขาบอกว่าไม่นี่ เขายิ่งตื่นมาดูเราก่อนเราตื่นสักพัก แค่รู้สึกว่าเรานอนท่าแปลกๆ แต่เขาคิดว่าเป็นผ้าประจำเรา เขาก็เลยบอกให้เราเปิดไฟให้สว่างให้หมด แล้วเขาจะเฝ้าเรานอนไปก่อน เขาถึงจะค่อยไปนอน เพื่อที่เราจะได้สบายใจ เราเลยกลับไปนอนที่โซฟาอีกรอบ และเราก็ยกมือไหว้ขออีกรอบว่าขอเรานอนพักดีๆเถอะนะ เราขอโทษถ้าเราทำอะไรไม่ดีไป หลังจากนั้นเราก็หลับไปจนถึงเช้า เช้ามาหัวหน้าก็ถามแล้วว่าเป็นยังไงบ้าง หลังจากนั้นนอนหลับได้ไหม เราก็เลยบอกว่า ไม่ได้เป็นอะไรแล้วหลับได้สบายดีแล้ว แต่พอเรามองที่คอเราเองเราเจอรอยถลอก เหมือนข้อเราเป็นแผล เป็นรอยแผลเป็นทาง ตอนนั้นตกใจมากๆ ว่ามันมาจากไหน หรือมันจะเป็นรอยจากสร้อย ที่เราโดนดึงเมื่อคืน หลังจากนั้นเราก็แต่งตัว เตรียมความพร้อมเพื่อออกไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ ตามโปรแกรมที่เราซื้อกับโรงแรมไว้ ซึ่งราคาท่องเที่ยวต่อคนนั้นค่อนข้างแพงเกือบจะหัวละ 7,000 บาท ระหว่างนั้นเราก็เริ่มกลัว จะ Cancel ก็ไม่ได้ เพราะจ่ายเงินและเตรียมทุกอย่างไปแล้ว ตอนนั้นเรายังเพลียมากและไม่อยากจะไปไหนไกลๆ ตอนนั้นเราก็เอา Facebook ว่าเมื่อคืนโดนดีแล้ว ซึ่งในคอมเม้นทุกคนก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนก็บอกว่า โดนใช่ไหมเพราะเขาก็เคยโดน บางคนก็บอกว่า เคยมาเป็นอาสาสมัครตอนเกิดสึนามิ เขาบอกกับตัวเองว่าต่อไปจะมาเที่ยว มาได้ แต่ถ้าให้มานอนเขาคงไม่กล้า แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะๆเสก ก็แอบกลัวกับประสบการณ์ของคนอื่น จากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทาง โดยรถของทางโรงแรมได้พาเราไปส่งยังท่าเรือ เพื่อที่จะต่อเรือ ไปพายเรือแคนู ตอนเราออกเรือไปได้สักพัก ฝนตกลงมาหนักมาก แต่พนักงานโรงแรมบอกว่า ไม่เป็นไรครับ ออกไปได้สักพักเดี๋ยวก็จะเจอฟ้าสว่าง แล้วมันก็จริงค่ะ ฟ้าสวยมาก เราก็ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆนะคะ ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าสบายใจขึ้น ลืมเรื่องเมื่อคืนไปเลย จนผ่านไปตอนบ่าย เราก็เริ่มเอะใจว่า ทำไมไม่มีใครโทรมาหาเลย แม้แต่ที่บ้าน แต่ก็ยังอัพรูปลงโซเชียลต่างๆต่อนะคะ พอถึงที่สุดท้าย เกาะปันหยี ระหว่างนั้น เราก็กำลังจะไปดูร้านสร้อยมุกทำมือ ที่บ้านหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนไม้ที่สร้างบนทะเล คนที่ไปที่นั่นจะเห็นว่า บ้านแต่ละหลังส่วนมากก็สร้างบนทะเลไว้ กับพื้นทางเดินมันเป็นปูนนะคะ เราก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ที่ป่าเขาขายของ หัวหน้าเขาก็เดินดูร้านอื่นๆไปเรื่อยๆ ส่วนเรายืนดูสร้อยกับป้าเจ้าของร้าน และคนติดตามที่มาจากโรงแรม อยู่ดีๆเราก็ได้ยินเหมือนของหล่น เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะไม่คิดว่าจะเป็นของเรา อยู่ๆ ป้าเขาก็มากอดเราแล้วบอกว่าหนูทำใจดีๆนะ ป้าเห็นมือถือหนูมันร่วงลงทะเลไปแล้ว คือขอบอกก่อนนะครับว่า สอบที่มันร่วงลงไปนั้นมันเล็กมากๆ รู้มันกว้างประมาณ 1 กำมือเองมั้ง ตอนนั้นเรามีช็อกไปเลยค่ะ เฮ้ย ก็หลุดไปได้ยังไง หรือใครไปพลาดโดน เพราะทุกคนก็บอกว่าไม่ได้ทำและไม่ได้แตะต้อง ตอนนั้นเราก็หยุดร้องไห้ ดังมากๆกลางหมู่บ้าน กรอกข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้น จนมีคุณลุงคนหนึ่งวิ่งมาแล้วถามว่าเป็นอะไร คุณลุงบอกว่า ต้องรอน้ำลงอีก 2 ชั่วโมงหนูถึงจะเก็บขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นหนูก็ร้องไห้ไม่หยุด จนสุดท้ายคุณลุงก็กระโดดลงไปงมให้ เขาคำนวณจากการกระแทกที่ลงพื้นแล้ว องศาที่น่าจะหล่นลงไปในทะเล สุดท้าย ได้กลับมาค่ะ แต่มันก็พังไปแล้วเรียบร้อย หัวหน้าเราก็ได้แต่ขอบคุณและให้เงินคุณลุงไปเพื่อเป็นการขอบคุณ ตอนนั้น คลิปที่ทำรีวิวให้ลูกค้าหยุดลงทันทีค่ะ เรารีบซื้อสร้อยร้านคุณป้าเรารีบกลับทันที พนักงานของโรงแรมก็ได้พาเข้าเมืองทันทีและพาไปที่ร้านโทรศัพท์ เขาก็บอกว่า ขอโทษนะครับ เครื่องโดนน้ำเค็มแล้วไม่มีทางซ่อมได้ เหมือนข้างในมันได้เสีย เกลือกินหมดแล้ว ตอนนั้นหัวหน้าก็เห็นว่าเรารู้สึกแย่มากๆ และติดต่อใครก็ไม่ได้ ทำงานติดต่อลูกค้าได้ยาก เขาเลยซื้อโทรศัพท์ โดยออกเงินให้เราประมาณ 1 และที่เหลือให้เราออกเองนิดหน่อย ตอนนั้นก็ค่อนข้างจะเย็นพอสมควร ทางโรงแรมได้โทรตามเพื่อที่จะให้กับโรงแรม และเตรียมตัวเพื่อไปดินเนอร์ต่อ ที่น้ำตกที่เราจองไว้ตอน 7:00 น ต่อได้โทรศัพท์เครื่องใหม่กลับมาเราก็รีบโทรบอกยายว่า เครื่องเก่าเราตกทะเลระหว่างที่เราไปทำรีวิวโปรแกรมท่องเที่ยวให้ลูกค้า ยายเลยบอกกลับมาว่า โทรหาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย เหมือนโทรศัพท์ปิดเครื่องตลอด เราเลยบอกว่า เรานั่งคุยกับเพื่อนและลูกค้าคนอื่นตลอด เป็นไปไม่ได้ เราโทรหายายก็ไม่เห็นมีใครรับ คือคุณยายของเราค่อนข้างจะเชื่อเรื่องลี้ลับ และค่อนข้างจะมีสัมผัสที่ 6 ยายบอกว่า จะโทรมาบอกเราว่า อยากไปทะเล จะออกไปที่ที่มันท้าทายจะมีเรื่องบาดเจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น แต่ตอนนั้นก็ไม่ทันเสียแล้วเราออกไปเรียบร้อย และโทรศัพท์ก็ตกทะเลอย่างที่ทุกคนงงว่ามันตกไปได้ยังไงใครเป็นคนชน พอประมาณ 19:00 น ทางโรงแรมได้เตรียมรถมารับ เพื่อจะเดินทางไปยังน้ำตก เพื่อทานดินเนอร์มื้อเย็น น้ำตกที่เราไปนั้นห่างจากโรงแรมประมาณ 10 20 นาทีได้ ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างจะมืดและเงียบมากๆ ทางไปน้ำตกนั้น ไฟส่องข้างทางไม่มี ซึ่งมีแต่ไฟจากบ้านคนซึ่งน้อยมากๆ และจับไฟหน้ารถเท่านั้น พอถึงน้ำตกปุ๊บ เราก็พบกับทางเดินไปที่น้ำตก ซึ่งมีเทียนวางอยู่ประมาณ 500 อันเรียงรายอย่างสวยงาม ตอนนั้นคิดเสมอว่า ถ้าเราเป็นลูกค้าและเจอความรู้สึกนี้ เราคงมีความสุขและคงดีใจมากๆ คงดีใจที่สามีเขาจัดทริปแล้วพามาแบบนี้ ภาพตอนนั้นคือทำไมมันช่างโรแมนติกขนาดนี้ อิจฉาจังอยากมีโมเม้นที่มากับแฟนแล้วเจอแบบนี้บ้าง เพราะเรามาจากหัวหน้า ซึ่งมีแต่งานและก็เก็บรายละเอียด พอเดินไปถึงน้ำตก เรามาลองจินตนาการตามกันนะคะ ตรงหน้าน้ำตกที่สวยงามนั้นจะเจอมุมอยู่ 3 มุมคือ มุมที่ 1 คือมุมครัว ที่มีพ่อครัว 1 ท่านยืนทำอาหารให้สดๆตรงนั้น มุมที่ 2 คือมุมโขดหินใหญ่ น้ำตก ที่ให้นั่งจิบไวน์หรือแชมเปญ สามารถเล่นน้ำตกได้เพราะมีสปอร์ตไลท์ส่องสว่างอยู่ 2 ดวง และมุมที่ 3 คือมุมที่รับประทานอาหาร เราไปถึงก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศและไปดื่มแชมเปญกับหัวหน้าตรงน้ำตก อยู่ดีๆ เราก็ซนไปลงเล่นน้ำตกเฉยเลย ตอนนั้นคือเย็นสบายมากๆ เราก็รีบหัวหน้าให้ถ่ายรูปให้เพราะเขานั่งอยู่บนหิน ไม่อยากลงมาเล่นให้เปียกขา ก็ถ่ายไปได้สักพัก เราก็รู้สึกเหมือนมีคนเอามือ มาดึงข้อเท้าเราลงไปในน้ำ เราก็หงายหลังไปแต่ไม่ล้มยังพอทรงตัวได้ เราเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว เพราะตอนนั้น เหมือนไม่มีแรงขาเดินขึ้นไปข้างบน เราเลยตัดสินใจตะโกนเรียกพนักงานโรงแรมที่คอยบริการอยู่ 1 คนให้มาช่วยเราหน่อย โดยอ้างว่าเหมือนจะเหน็บกินไม่มีแรงมาช่วยหน่อย เขาหรือวิ่งมาอุ้มเราไป แต่เราไม่กล้าทัก และบอกอะไรเขาเลยเงียบต่อไป พอเตรียมอาหารเสร็จ เราก็ย้ายไปมุมที่เขาจัดโต๊ะอาหารไว้ ซึ่งห่างออกจากน้ำตกมานิดนึง โต๊ะจากมุมให้เราหันข้างให้น้ำตก เพื่อจะได้ทานไปและมองน้ำตกไป เหมือนจะโรแมนติกมาก ได้เวลาเริ่มการเสิร์ฟทีละเมนู เราก็เริ่มการถ่ายรูปและเขียนชื่อเมนูพร้อมกับรสชาติ คืออาหารนั้น บอกเลยว่าอร่อยมาก พอทานไปได้สักพัก เรารู้สึกว่า ที่น้ำตกที่เราลงไปเล่นมันนั้น มีใครกำลังจ้องมองเราอยู่ ซึ่งตอนนั้นมีจริงๆแค่ 4 คน คือเรา หัวหน้า พ่อครัวและเด็กเสิร์ฟ ส่วนคนขับรถนั้นเขาได้กลับไปรอที่โรงแรมแล้ว นั่งแท่นไปได้สักพัก เหมือนเราเห็นเงาอะไรอยู่แถวน้ำตก เหมือนมีคนมองเรื่อยๆ เป็นระยะระยะ สักพัก ฝนก็ตกลงมาหนัก หนักมาก เทียน 500 อันที่เขาจุดเทียนไว้ค่อยดับไป เหลือเพียงแค่รอบตัวเราในร่มโต๊ะกินข้าวและไฟจากเทียนบนโต๊ะเท่านั้น ส่วนมุมครัวนั้น อยู่ค่อนข้างห่างออกไปมาก เข้าถึงเมนูของหวานหัวหน้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องเดินไปไกลพอสมควร โดยที่เด็กเสิร์ฟ เดินส่องไฟฉายไปเป็นเพื่อน ส่วนเราก็นั่งอยู่คนเดียว ตอนนั้นเหมือนเทียนรอบโต๊ะกินข้าวเรา เริ่มดับไปเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยแรงลมหรืออะไร เราทนไม่ไหว เลยตะโกนเรียกพ่อครัว ให้มายืนเป็นเพื่อนเราที่โต๊ะ โดยบอกว่าเรากลัวความมืด ถ้าหัวหน้ากลับมาจังหวะนั้นเราเริ่มเห็นอะไรที่น้ำตกชัดขึ้น เราเลยบอกเขาไปว่ากลับไปทานที่ห้องเถอะ เราไม่ไหวแล้ว เราหนาว เขาเลยบอกให้พนักงานย้ายของไปทานที่ห้องและให้รถมารับ ตอนนั้นความโรแมนติก มันเริ่มหายไปหมดแล้ว เราไม่สู้ด้วย เพราะกลัวจะมาหนักอีก เอารถมารับที่น้ำตก เราก็รีบขึ้นรถกลับเลย ระหว่างนั้นพนักงานโรงแรมก็ถามว่า เป็นยังไงบ้างโรแมนติกไหม สวยไหมอร่อยไหม เราก็ตอบเขาไปทุกคำถาม และบอกเขาไปว่าเรามาทำงานมาเช็ครายละเอียดให้ลูกค้าของเราอีกที ระหว่างที่เรากำลังนั่งรถกลับ เราก็นั่งหันออกไปมองข้างๆถนนที่มืดมากๆ ตาเราดันหันไปชำเลือง เห็นภาพผู้หญิงฝรั่ง ผมยาว ยืนอยู่ริมถนนข้างขวา โดยที่เห็นตัวและขา แต่ไม่มีเท้า ก็นั่นแหละพูดได้เลยว่า ตกใจมาก แต่ไม่กล้าหันกลับไปมองอีก เราเลยหันหน้าตรง มองไปข้างหน้าอย่างเดียว เราก็เห็นคนขับรถมองที่กระจกหลัง และคนขับก็ถามเราว่า คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือครับทำไมทำหน้าตกใจแบบนั้นครับ เราเลยบอกว่าไม่มีอะไรเราก็นั่งไปเงียบๆ จะเลี้ยวขวาเข้าไปในซอยที่จะไปโรงแรม ก็เห็นมีบ้านอยู่ปากซอยเปิดไฟสว่าง และเห็นเขานั่งร้องเพลงเหมือนกำลังปาร์ตี้อะไรกัน เล่าเลยค่อยโล่งใจว่า เฮ้ย แถวนี้ยังพอมีคนอยู่นะ พ่อเลยบ้านหลังนั้นมาได้สักพัก เรามองเข้าไปในสวนยางก็เจอเหมือนแสงไฟสีส้มๆ เหมือนคนจุดเทียนในบ้านกลางสวนยาง เราเลยทักพี่คนขับรถว่า แถวนี้เงียบดีนะคะ เขานอนกันไวจัง ดูบ้านหลังนั้นสิ ป่านนี้คงนอนกันหมดแล้ว คนขับรถก็หันมามองกระจกมองหลังอีก แล้วก็ยิ้มมุมปาก บอกแค่ว่า ครับ พ่อถึงโรงแรมที่หน้าล็อบบี้เราเลยบอกเขาว่า ถ้าหนูไปไหว้ศาลพระภูมิกับเจ้าที่ที่นี่หน่อยได้ไหมคะ พอดีเมื่อคืนหนูนอนไม่ค่อยจะหลับ พระลืมไหว้และบอกท่าน ตอนนั้นคนขับรถ เขาก็พอรู้แล้วว่าเราเจออะไรมาไม่ปกติ ตอนนั้นเขาก็เลยบอกว่า ผมเป็นร่างทรงบนเขาหลักนั่น แต่นี่คืองานประจำของเขา เขาบอกว่า เขาก็ไม่อยากจะโกหกเรา จากนั้นเขาก็เลยเริ่มเล่า เรื่องที่เราเจอตั้งแต่ผู้หญิงริมทาง บนถนนที่เราเจอตอนแรก เขาบอกเราว่า ผมรู้แล้วตอนนั้นว่าคุณผู้หญิงเห็นอะไร ตรงนั้นคนเห็นประจำแต่คนส่วนมากที่เห็น เขาจะค่อนข้างมีเซ้นส์ ผมไม่คิดว่า คุณผู้หญิงจะเห็น ก็ผมเห็นหน้าคุณผู้หญิงทำหน้าตกใจ ผมคิดแล้วว่า เห็นอีกคนแล้วแน่ๆ ตรงนั้นมีคนเห็นประจำครับ อย่าทัก อย่าเรียก และอย่าจอดถามเด็ดขาด ส่วนบ้านที่คุณผู้หญิงทักเมื่อกี้ ไฟนั้นไม่ใช่ไฟจากบ้านคน และแถวนี้ ก็ไม่มีบ้านใครนะครับ ส่วนมากโดนสึนามิพัดไปหมดแล้ว มีแค่โรงแรม 2 แห่งที่เหลืออยู่ คือที่นี่ และอีกโรงแรมหนึ่งเท่านั้นครับ เมื่อก่อน แถวนี้มีโรงแรมเยอะมาก หลายสิบโรงแรม พ่อโดนสึนามิไป ไม่มีใครกลับมาทำใหม่เลยครับ สวนบ้านคนส่วนมากเขาย้ายไปที่สูงและในเมืองกันหมดแล้ว จากนั้นเราเลยเล่าเรื่องคืนแรก ที่เราโดนให้คนขับรถเขาฟัง เขารีบพาเราไปไหว้เจ้าที่ ไหว้ศาล และขอไปที่ห้องที่เราพัก เพื่อไปดูว่า มีอะไรผิดปกติไหม พอเราเปิดประตูพาเขาไปพร้อมกับหัวหน้า คนขับคนนั้นเขาก็บอกว่า ผู้หญิงคนนั้นที่คุณเห็น เข้าไปแล้วออกไปที่อื่น เขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว พี่เขาเลยถามว่าเมื่อคืนเราไปไหนมา เดินเล่นที่หน้าหาดมาหรือเปล่า เราเลยบอกไปว่า ไป เราไปกินข้าวกับหัวหน้าที่ร้านข้างๆมา แล้วตอนกลับเล่นน้ำทะเลนิดๆ พี่เขาเลยบอกว่า ผู้หญิงคนนั้น เขาตามเรามาจากหน้าห่า เพราะช่วงนี้เราคงดวงตก จุดอ่อนและอาจจะได้รับคำเชิญชวน เพราะเขาไม่มีที่ไปเลยต้องการหาที่อยู่ด้วย ชิบหาย เรานี่ขนลุกเลย พี่เขาเลยบอกว่า เวลากลางคืนช่วงน้ำขึ้น เขาจะมาพร้อมกับน้ำ แล้วยิ่งเราชวนหัวหน้ากลับห้อง โดยไม่เรียกชื่อนั่น คือการเชิญชวนให้บุคคลที่ 3 โผล่มาได้ ส่งหน้าหาดไม่มีศาลพระภูมิ หรือศาลเจ้าอะไร เขาก็เลยสามารถตามมาได้ แต่ถ้าเข้ามาจากทางหน้าโรงแรมจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร นี่เราก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีแบบนี้ด้วย คราวนี้เราก็เริ่มโผล่ขึ้นมามากกว่าเดิมแล้ว เพราะวันที่ 2 นี้ เราจะเลือกอะไรมาเยอะมากๆ พอพนักงานเอาอาหารที่ทานค้างไว้ จากที่น้ำตกมาให้ ตอนเขาจะเดินออกไป ตอนนั้น เป็นจังหวะที่หัวหน้ากำลังอาบน้ำ เราอยากคุยกับพี่คนขับรถคนเมื่อกี้เพิ่ม เพราะรู้สึกแบบอยากรู้อะไรมากขึ้น เล่าเลยให้พนักงานพาเราเดินไปส่งที่ล็อบบี้ คือตอนนั้นป๊อดมาก กลัวไปหมด ครูทั้งความมืด ขวัญเงียบแล้วก็ผี พอรู้ถึงล็อบบี้เราก็เจอพนักงานที่ฟอนต์ เขาก็ถามว่า เป็นยังไงบ้างคะคุณผู้หญิง เห็นว่ามือถือตกทะเลซ่อมได้ไหมคะ ก็คุยกันเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ จนพี่พนักงานคนขับรถได้เอารถไปเก็บ เขาก็เดินมาคุยกับเราต่อ เขาถามว่า มีพระใสไหม เราเลยเอาผ้าให้เขาดู ซึ่งเป็นพระที่ได้มาจากวัดไทยในต่างประเทศ พี่ๆเขาเลยบอกว่า อ้าวไม่อยู่หรอกค่ะ ทุกคนเลยเอาของตัวเองที่ใส่ติดตัวไว้ออกมาให้ดู พนักงานคนที่ 1 บอกกับเราว่า ฟังที่คุณผู้หญิงอยู่ไม่มีหรอกค่ะ ฟังปีกขวานี่สิคะ เยอะ พนักงานคนที่ 2 บอกเราว่า เราก็คนไทยด้วยกันนะคะไม่อยากโกหกกันจริงๆหรอกค่ะ คือที่นี่ถามว่ามีไหม จริงๆมันก็มีอ่ะค่ะ แต่อยู่ที่ใครจะเจอและใครจะโดนมากกว่า ซึ่งคุณผู้หญิงอาจจะเป็นคนที่สื่อสารได้ ส่วนพนักงานคนที่ 3 เดินมาแล้วถามว่า คุยอะไรกัน มีคนนึงบอกไปว่าเรื่องผี คุณผู้หญิงเจอผีมา เขาก็เลยบอกว่า โหย ฝั่งผู้หญิงอ่ะแรงมาก เยอะมากๆ คุณผู้หญิงเขารู้ไหม ตอนนั้น คือแบบตอนแรกเลย ตกลงมันมีทั้งโรงแรมหรือไงวะ แล้วเขาก็เล่าต่อว่า ก่อนที่คุณผู้หญิงจะมามีฝรั่งมาพักเหมือนกัน แล้วตอนนั้นยังกลางวันด้วย ที่ฝรั่งโดนคือเปิดประตูห้องก็เจอเป็นผู้หญิง ใส่ชุดขาว เขาก็คุยด้วย แต่ไม่ได้เสียงตอบกลับอะไรเลย พอสักพัก อยู่ดีๆผู้หญิงคนนั้นก็ขยับมาเช็คกับฝรั่ง แล้วฝรั่งก็เหมือนจะช็อคไปเป็นลมไปเลยค่ะ ประวัติของโรงแรมนี้ คือตอนเกิดสึนามิ เขาบอกว่า ยังไม่ได้เปิดให้บริการนะคะ เพราะว่าตอนนั้นตกแต่งพึ่งเสร็จแล้วรอเปิดตอนปีใหม่ แต่ดันไปโดนสึนามิซะก่อน จบจากที่อื่นเลยลอยมาติดที่นี่เยอะพอสมควร โรงแรมตอนนั้นยังไม่ค่อยมีพนักงาน เพราะตรงกับช่วงหยุดปีใหม่ยาวด้วย พ่อคุยไปได้สักพัก พี่คนขับรถ ก็ถามเราว่า อายุเท่าไหร่ เราเลยบอกไปว่า เพิ่งจะครบ 25 ไม่กี่วันนี้เองค่ะ เขาเลยบอกว่าเป็นช่วงที่ควรระวังนะ จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ว่ากัน แต่ให้ระวังมากๆเป็นช่วงที่จิตอ่อนแอด้วย หมาที่แบบนี้อีก อันตรายมาก ก็คุยไปได้สักพัก มันเริ่มดึกมากๆ เราเลยขอตัวไปนอน พนักงานล็อบบี้ หรือวิ่งไปเอาพระมาให้เรา คือหลวงปู่ทวด เขาบอกว่า หมาที่แบบนี้ต้องพระคลังคลัง ลมแรงๆหน่อย ไม่งั้นเอาไม่อยู่จริงๆ นี่คือคำบอกเล่าที่เขาพูดมานะคะ คือใครจะเชื่อหรือไม่ก็อีกเรื่องนึงแต่เราไม่ได้ลบหลู่ เพราะเราแก้คิดทำตามพี่ๆเขาเหมือนกัน รับพนักงานคนหนึ่ง ก็ได้เดินไปส่งเราที่หน้าที่พัก จากล็อบบี้ไปนี่ จะเป็นบ่อน้ำใหญ่ๆ ทางเดินเต็มไปด้วยหญ้า ไฟมีน้อยมาก ค่อนข้างวังเวงพอสมควร ค่าส่งเราแล้วพนักงานก็บอกเราว่า อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนนะคะ คืนนี้คงไม่น่ามีอะไรแล้วเพราะคุณผู้หญิงได้พระมาหลายองค์พอสมควร ส่วนหัวหน้าเรานั้นอาบน้ำเสร็จ เขาก็บอกว่าเขากลัวมาก หายไปไหนมา ก่อนนอนเขาก็ยกมือไหว้ บอกและขออนุญาตนอนที่นี่เหมือนกับที่เราทำ เพราะแกกลัวตามเราไปแล้ว เช้าวันต่อมา พอเข้าวันที่ 3 ของทริป ตื่นนอนมา คือเราดีใจมาก ที่เมื่อคืนเราไม่ได้โดนผีอำหรืออาจจะนอนหลับลึก จนไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะเหนื่อยมากจากการตะลอนเที่ยวเกาะมา ใกล้กลับของเรา มันคือ 18:00 น เราเลยมีเวลาเหลือเฟือมาก เรากับหัวหน้าเลยเปลี่ยนชุดจะไปเล่นน้ำกัน พอจังหวัดที่หัวหน้าไปนอนอาบแดด เราขอเข้าไปถ่ายเรือเล่น โดยมีพนักงานของโรงแรมไปกับเราด้วย ตอนนั้นประมาณบ่ายได้น้ำไม่ได้ขึ้นสูงมาก แต่คลื่นซัดแรงมาก แต่พนักงานโรงแรมบอกว่าไม่เป็นไร ปลอดภัยหรือออกไป ตอนไปนี่สนุกมาก คือใครไปไกลมากๆ แต่เราไม่ได้จับเวลา พอสักพักเราเริ่มเหนื่อยเลยพายเรือเข้าฝั่ง พนักงานบอกเราว่า ถ้าจากตรงนี้เดินไปโรงแรมก็ประมาณครึ่งชั่วโมง เราพายเรือไปจอดตรงมุมที่มีโต๊ะให้นั่ง และเหมือนจะมีบ้านที่ปลูกอยู่หลังเล็กๆ ที่เหมือนจะเป็นร้านของชำจะปิดร้านอยู่ ตรงนั้นหนูเงียบมากๆเลย เราบอกพนักงานว่า เดี๋ยวหนูขอไปเดินดูร้านตรงนั้นหน่อยนะคะ เพราะตอนนั้น เราเห็นเหมือนมีคนอยู่ในร้านตรงนั้น ก็มีเหมือนคนเดินไปไปมามาอยู่แว๊บแว๊บ พนักงานบอกเรากลับมาว่า ไม่ต้องหรอกครับ เพราะตอนนี้ Low season ไม่มีใครอยู่ครับ เขากลับบ้านกันหมดแล้วล่ะ เราก็คิดว่า เอาอีกแล้วหรือวะ เล่าเรื่องชวนพี่เขากลับโรงแรม โดยบอกว่าหัวหน้าน่าจะตามแล้ว แต่ตอนนั้นมีคลื่นลมแรง พนักงานจึงบอกว่า ให้รออีกสักประเดี๋ยวรอให้คลื่นสงบค่อยกลับ แต่สายตาเรา กับเห็นเงาอะไรเคลื่อนไหว อยู่ตรงบ้านไกลๆโน่น เราเลยเริ่มไม่ไหวแล้วอยากจะกลับเดี๋ยวนี้ ส้มตอนหลังเราอ้างไปว่า หัวหน้าเขาเป็นคนต่างประเทศ ถ้าเราไม่กลับตอนนี้ หายไปนานมากๆ เขาอาจจะไปแจ้งความได้นะคะเพราะต่างชาติเขาจะออกแนวคิดมาก ตอนนั้นพนักงานเลยลากเรือออก โดยยอมสู้กับคลื่นที่แรงมากๆ แปลกที่ขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะสงบเลย ใจเราก็แอบหวานๆ แต่เราก็สามารถพายเรือกลับไปได้ แต่เราก็สามารถพายเรือกลับไปได้อย่างปลอดภัย พออาบน้ำเก็บของเสร็จ เราก็เอาพระไปคืนพนักงานที่ล็อบบี้ เขาก็ถามว่า นอนหลับสบายดีไหม ฝันหรือโดนผีอำอีกหรือเปล่า แล้วเขาก็บอกว่า ไว้มาอีกนะคะคุณผู้หญิง เราก็ตอบไปแบบปากไว้อีกว่า ไม่อยากกลับเลยอยากอยู่ที่นี่ต่อ พอขึ้นรถลีมูซีนของโรงแรมไป เราก็ได้เจอกับพี่คนขับ ในวันแรกที่เป็นคนไปรับเรา ซึ่งเป็นคนละคนกับที่ขับพาเราไปเที่ยวน้ำตกนะคะ เขาบอกว่าวันนี้เป็นวันหยุด แต่เขาขออาสาขับรถไปส่งเราที่สนามบินเอง พ่อเราขึ้นรถไป เราสังเกตเห็นกล้องบนรถ กำลังถ่ายจากภาพ ซึ่งแบ่งจอเป็นครึ่งครึ่ง คือถ่ายหันหน้าออกไปนอกรถ และถ่ายเข้ามาในรถ เราก็ทักว่า วันนี้ถ่ายแตกๆนะคะ ปกติถ่ายแต่ภายนอกตลอด ระหว่างทางนั้นเขาก็ขับไปเรื่อยๆ เราก็บ่นอยากหาอะไรกิน แต่ไม่เจอร้านอะไรเลยตอนนั้น คนขับก็ใจดี แอบพาพวกเราแวะถ่ายรูปที่ว่างๆหนึ่งระหว่างทางไปภูเก็ต น่าจะแถวอุทยานแห่งชาติเขาหลัก ไม่ไกลจากเขาหลักมาก ตรงนั้นจะเป็นวงรูปตัวยู เราก็ลงไปถ่ายรูป รับลมก่อนกลับ แล้วเราก็บอกเขาว่าสวยมาก ทำร้ายจิตใจอยากอยู่ที่นี่เลย พี่คนขับรถเลยกระซิบบอกว่า ที่ที่เรามาตรงนี้ เป็นที่ที่สุด ปล่อยมาติดเยอะมากที่สุด ติดตามโขดหินข้างล่างบ้าง 3 ซองต้นไม้บ้าง แล้วยิ่งเป็นรูปตัวยู มันยิ่งทำให้ ลอยไปไหนต่อไม่ได้ เราเลยบอกเขาว่าเราหิวมากแล้วรีบไปเถอะ แต่สุดท้าย ไม่พบของกิน เราเลยขอแวะซื้อของฝากในตะกั่วป่าแทน พ่อจะแวะซื้อของฝากเสร็จ ก็ขับรถตรงดิ่งไปสนามบินเลยค่ะ ระหว่างทางบนรถนั้นเรากับหัวหน้าก็ดื่มเบียร์คุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย จังหวัดนึง เราได้ยินเสียงคนขับตะโกนว่า เฮ้ย เสียงดังมาก พอหันไปมองข้างหน้า เห็นรถพุ่งตรงจากทางซ้าย คือถนนตรงนั้น มันเป็นฝั่งละ 3 เลน แล้วเรามาเรียนขวาสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จังหวัดที่เพิ่มมาฝั่งซ้ายของรถ ฝั่งที่เรานั่งนั้น มีเรียนทางขวาเบี่ยงออก จุดกลับรถพอดี คนขับรถเราเลยหักไปทางขวา ทุเรียนการจดให้มากที่สุด รถที่พุ่งมาคือเขาออกมาจากโรงเรียนเลี้ยวขวาลักไก่ ตรงที่กลับรถตรงนั้น เหยียบคันเร่งพุ่งมา ตอนที่รถเรากำลังขับมาทางตรงเลยทำให้ประสานงานกัน ตอนนั้นหนูตกใจมาก แล้วก็ไปบอกหัวหน้าไม่ทันว่ารถจะชนแล้วนะ คือตอนนั้นในสมองเราตื้อไปหมดกลัวความตายมาก เพราะรถต้องมาชน เราเลยเอามือขึ้นมาปิดหน้าเราไว้เพราะกลัวว่ากระจกหรืออะไรจะแตกมาโดนเราตอนนั้นคืนไหนใจก็แอบคิดว่า ตายแน่กู แต่โชคดีคือรถไม่ติดค่ะแค่ตะแคงแล้วกลับมาที่เดิม เอารถกลับมาที่เดิมได้ สภาพเราคือสุดลงไปอยู่ที่พื้นรถเลยค่ะ ขึ้นรถที่รองนั่งวันนั้นเป็น Ford Everest คันใหญ่หน่อย เขาปรับเบาะข้างคนขับไปข้างหน้าให้สุด เวลาเรามีพื้นที่ในการเหยียดขา แต่ที่ไหนได้คือเราไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น หัวหน้าเอาไปฟาดกับอะไรไม่รู้ น้ำในรถกระเด็นหกหมดเลย คนขับรถพยายามตั้งสติและพยายามขับเอารถไปจอดอยู่ตรงข้างๆถนน แล้วคนขับก็ลงไปตามรถคันนั้นให้มาจอดตามเรา เคลียร์เรื่องการ สุดท้ายระหว่างรอตำรวจและประกันมา เขาก็มาเช็คดูหัวหน้ากับเรา ตอนนั้นเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง หัวหน้าบอกว่ายังไงก็ต้องกลับ เพราะเขาต้องไปพัทยาตอนกลางคืน นัดลูกค้าไว้แล้ว ส่วนเรานั้นแขนซ้ายชา เจ็บที่ท้ายทอยข้างซ้าย คือง่ายๆเลย ข้างซ้ายเราเจ็บไปหมดทั้งตัวแต่ดีที่ไม่มีแผลและหัวไม่แตก ส่วนรถที่มาชนเขาก็บอกว่า เขาขับออกมาจากโรงเรียนมาโดยที่ไม่เห็นว่ามีรถเรา คนขับเราบอกว่าบีบแตรบอกกับพี่ฝ่ายก็แล้วไม่เห็นเลยเหรอครับ เขาบอกว่าไม่เห็นจริงๆเห็นเป็นถนนโล่งๆเลย ก็เลยรีบหยิบออกมา เราก็ไม่รู้ต้องอีกทีคือชุมชนแล้วเป็นเงามืด คือเราก็งงมาก กับสิ่งที่เขาบอก ตอนนั้นมีรถของโรงแรมอีกคัน ขับกลับมาจากอีกฝั่ง เห็นเหตุการณ์รีบกลับรถมาดู แล้วค่ะหัวหน้าเราไปส่งที่สนามบินทันที โดยที่เราบอกหัวหน้าว่า ไปก่อนเลยเดี๋ยวเรากลับเองทีหลัง ตอนนี้เราเจ็บมากขอดูอาการไปหาหมอก่อน เพราะเรากลัวไปหมด ต้นโดนชนนั้นประมาณ 17:00 น กว่าจะรอตำรวจมารอประกันมานานมาก มันก้ำกึ่งระหว่างโคกกลอยแล้วก็ภูเก็ต เพราะเคลียร์อะไรเสร็จประมาณ 19:00 น รถจากโรงแรมอีกท่านก็มารับเราไปโรงพยาบาล พร้อมกับพี่คนขับคนใหม่ แล้วคนเก่า ที่ขับไปส่งเรานั้นก็ไปด้วย พี่เขาบอกว่า ตอนก่อนไปรับเราที่โรงแรม อยู่ๆ ลูกชายก็จูงมือเขาเอาไปใส่บาตรโดยที่ปกติ พี่เขาไม่เคยทำเลย เขาบอกเหมือนมีลาง เรื่องกล้องจุลทรรศน์ด้วยว่าทำไมวันนี้ถ่ายแปลกๆ พอถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของเอกชนที่เราคิดว่ามันน่าจะดี แต่ที่ไหนได้ ป่วยเป็นลมมาก คือเรารอตรวจแล้วเกิดอุบัติเหตุมา คนขับรถเรารีบบอกบุรุษพยาบาลว่าลูกค้าของผมเกิดอุบัติเหตุรถชน ขอรถเข็นหน่อย แต่สุดท้ายไม่ได้เลย เราต้องเดินไปรอที่แผนกฉุกเฉินเอง ตอนนั้นประมาณเกือบ 20:00 น แล้วเราก็นั่งรอหมอตรวจ พอถึงคิวตรวจ หมอก็ซักถามเราว่า เกิดอะไร พอเราบอกว่าประสบอุบัติเหตุมา หมอตอบกลับมาง่ายๆว่า ไม่เป็นไรมากหรอก ไม่มีแผลไม่ช็อค ไม่หมดสติมางั้นเดี๋ยวกินยาพาราก็กลับได้ เรานี่แหละ คืออะไรฟะ เราเลยบอกเราขอเธอได้ไหม ขอตรวจให้ครบหมอระยองแล้วก็ให้เราไปเ***ซเรย์ ผลตรวจออกมาบอกว่า ไม่มีอะไร ปกติดี แต่ทางโรงแรมก็แสดงความรับผิดชอบมากๆ ถามเราว่า เราจะกลับไปนอนที่โรงแรมหรือจะนอนที่โรงพยาบาล เขาให้เราเลือก คุณคิดว่าเราจะเลือกที่ไหนหรอ เราก็ต้องเลือกโรงพยาบาลสิ ความรู้สึกตอนนั้นคือกลับไปนอนที่โรงแรมคงต้องโดนหนักอีก ต่อให้ห้องราคากี่หมื่นมาดีขนาดไหนเราก็คงไม่ไหวแล้ว ระหว่างนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีคนขับรถนั่งเฝ้าอยู่ ที่โรงพยาบาลตลอด ตอนนั้นเราตกใจและเสียขวัญมาก เราเลยโทรตามญาติ ที่อยู่ภูเก็ตให้มา โชคดีมาก อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องนอนคนเดียวที่โรงพยาบาล สุดท้าย เราได้เจอกับทุกคนที่เราอยากเจอแต่ไม่มีโอกาสได้เจอ แต่ดันเจอกันที่โรงพยาบาลนะ มันก็แอบไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ทริปนี้มันเกินวันที่เราบอกป๊ากับม๊าเราไว้ ตลกเรื่องใหม่ๆแล้วแอบไม่อยากบอก เพราะกูรักเขาเป็นห่วงกันมาก เราเลยกะว่าให้มันโอเคแล้วค่อยบอก แต่ที่ไหนได้ ที่รู้เรื่องเราไปบอกยายเรา ยายก็เลยไปบอกน้าที่อยู่ต่างประเทศต่อ คราวนี้ยาวมายังพ่อ คือพอเราทำงานอยู่เมืองไทยนะแต่แม่อยู่ต่างประเทศ พ่อหนูรีบโทรมาตามให้เรากลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯทันที โดยให้หมอทำเรื่องส่งตัวไปให้ แต่เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้นที่จะกลับ วันนั้นเราต้องนั่งรถกลับไปที่พังงาที่โคกกลอย เพื่อไปสถานีตำรวจ เพื่อให้การกับเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างที่เราเดินเข้าไปในสวนนั้น เราได้ยินเสียงดังแป๊ะ เสียงเหมือนอะไรร่วงลงมาค่ะ ก็เห็นไปเท่านั้นแหละ มันคืองูเขียวตัวเล็กๆเสียบหลังเราไปนิดเดียวเอง พอเห็นเท่านั้นแหละเราก็วิ่งเลยจ้า หลังจากที่เคลียร์เรื่องคดีอะไรเสร็จที่สนมันก็เย็นมากๆแล้วเราก็รีบขึ้นเครื่องกลับตอนเช้า 18:00 น ระหว่างที่อยู่บนเครื่อง เราอาเจียนตลอดทาง โชคดีที่นั่ง business class เลยไม่ค่อยมีผู้โดยสาร เดินมาถามว่าโอเคไหมคะ เขาก็พยายามเอาน้ำแข็งมานั่งประกบท้ายทอยให้เราตลอด เพราะเรารู้สึกปวด แล้วเอายาดมมาให้ดมเอาถุงมาให้ ต้องขอบคุณเขาที่ดูแลเราในวันนั้นมากๆ พอถึงสนามบินเจอพ่อมายืนรอรับอยู่ ตอนนั้นคือน้ำตาไหลเลย คิดถึงภาพ ข่าวรถคว่ำตอนนั้นล่ะ เราจะเป็นยังไง ถ้าเราตายไปล่ะ แล้วสุดท้าย พ่อก็รีบพาเราไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเอกชนตรงนานา โดยที่พ่อรีบติดต่อให้เพื่อนคุณแม่ ให้รบกวนช่วยหาหมอที่ดีที่สุดให้ หาหมอทำเรื่องให้ไวที่สุด พอเราไปถึงที่โรงพยาบาล ก็เข้าเอกซเรย์ CT Scan สมอง ผลออกมาคือ ไม่เจออะไรทั้งนั้นแต่ท้ายทอยบวมจากการกระแทกและหนังศีรษะมีรอยพกช้ำ ซึ่งต้องนอนดูอาการเพราะเรายังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและปวดหัวอยู่ตลอด พ่อหมอขอดูใบส่งตัวหมอก็สงสัยว่า ทำไมที่ภูเก็ต ให้แค่ยาพารามากิน เขียนว่าไม่มีแผล และไม่มีอาการอะไรมา สุดท้ายเราต้องนอนที่โรงพยาบาลที่ไทยต่ออีกตั้ง 5 วัน ระหว่างนั้นใหญ่ก็มาเยี่ยมและรับฟังเรื่องที่เกิดขึ้น ยายบอกว่าไม่อยากให้เราไป ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราเป็นคนที่ดื้อมากไม่ฟังแน่ๆ แล้วไปทำงาน อย่าเลยไม่อยากจะรั้งไว้ แต่ยายก็อดห่วงไม่ได้เพราะเข้าเบญจเพส ตอนที่เรานอนอยู่ ยายก็นั่งเฝ้าตลอด พอตื่นมา ยายบอกแล้วก่อนกลับว่า ผู้หญิงที่หนูเจอผมยาว ที่เป็นฝรั่ง เขาอยู่ข้างๆหนูติดเตียงนะ ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ เขาตามหนูมา จากที่หนูไปพักที่เขาหลัก ตอนนั้น เหล่านี้น้ำตาไหลเลยค่ะ โทรถามให้เพื่อนๆพี่ๆมานอนเฝ้ากันใหญ่ ทั้งทั้งที่ตอนแรก นอนคนเดียวได้ไม่ให้ใครมาเฝ้า เราอยากจะพักผ่อน หลังจากที่ใหญ่ทักปุ๊บ เราก็รีบตามทุกคนมาเลยจ้า ยายบอกเราว่า เขาเสียจากตอนสึนามิ เขาพัดไปกับน้ำ และหัวของเขาสิกซ้าย กระแทกหินซึ่งเป็นฝั่ง แล้วมันก็เหมือนกับที่หนูกำลังเจ็บอยู่เนี่ย แต่เขาเสียชีวิต เขายังไม่ได้ไปเกิด เขาเห็นเรากำลังจิตตก และเป็นช่วงออนแอร์ เบญจเพสพอดี เขาอยากจะสื่อว่า เขาอยากได้โลงศพ และผ้าขาวให้เขาคนเดียว พอถึงกำหนดออกจากโรงพยาบาลปุ๊บ เราก็รีบไปวัดหัวลำโพง ทำบุญให้เขาตามที่เขาต้องการเลยค่ะ แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยฝันเห็นเขาอีกเลย สุดท้ายเรามานั่งคิด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดจากการที่เราไม่เชื่อ ในสิ่งที่คนอื่นเท่าไหร่ สนเล่นในวัยเบญจเพส เกิดจากอุบัติเหตุความมักง่ายของคนที่อยู่บนท้องถนน เกิดจากสิ่งลี้ลับ ที่เรามองไม่เห็น หลังจากมีการเปิดกล้องที่ติดอยู่ในรถดู ทางตำรวจบอกว่าโชคดีมากที่รถไม่คว่ำ ขอดูแรงของการชนตอนนั้นแล้วแรงมาก แต่โชคดีที่รถกลับมาที่เดิมและรถของเราสูงและใหญ่กว่ารถคู่กรณี โชคดีที่เราไม่ได้รับบาดเจ็บหนักจนเลือดออก แค่ถอยช้ำ ศีรษะข้างซ้ายบวมนิดหน่อย แต่คนบนรถคนอื่นไม่มีใครเจ็บและเป็นอะไรเลย ประกันบอกว่า โชคดีที่ตอนกำลังจะชน คนขับรถของเรามีสติมากไม่ปล่อยพวงมาลัย พยายามประคองรถ และคำนวณเหตุการณ์ที่เกิดการบาดเจ็บน้อยที่สุด มีสติตลอดเวลาที่เกิดเรื่องและแสดงความรับผิดชอบจนนาทีที่เรากลับ ถ้าถามว่าเราเชื่อเรื่องวิญญาณที่เซ็นทรัลมีไหม เราคงตอบได้ชัดเจนว่าเราเชื่อ ถึงแม้ใครๆจะบอกว่าไม่มีอะไรเพราะเขาไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ ที่ใครๆบอกว่าไปเที่ยวเขาหลักไปเที่ยวได้ แต่ถ้าให้ไปนอนเขายังไม่กล้ากัน ให้หนูตอนแรกที่ไป ก็ไม่เอะใจเลย ว่าทำไมโรงแรมที่เราไปพัก ถึงไม่ค่อยมีคนไทยเลย พนักงานยังบอกเราว่า นับได้เลยว่าปีนึงมีคนไทยมาแค่กี่คน เพราะทุกคนที่มาเป็นอาสาสมัครตอนสึนามินั้น เขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้มาเที่ยวเล่นคงทำใจไม่ได้ และใจไม่กล้าพอที่จะมานอนที่นี่ ส่วนภาพของวิญญาณฝรั่งคนนั้น ทุกวันนี้เราก็ยังจำเขาได้อยู่ มันติดตาเรามากๆ เราก็พยายามจะทำบุญไปให้เขา อยากให้เขาได้ไปเกิด ไม่ทรมาน ตอนนี้เราก็ใกล้จะพ้นเบญจเพสแล้ว ก็ยังแอบหวั่นๆว่า จะเจออะไรอีกไหม หรือมีเรื่องอะไรจะมาส่งท้ายเราอีกหรือเปล่า ก็จบไปแล้วนะครับ สำหรับเรื่องเล่าเรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นประสบการณ์จริงที่หลอนขนหัวลุกดีทีเดียว ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคน คงจะจำเหตุการณ์ของสึนามิได้ แม้จะผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ผมก็ยังจำได้นะครับ ว่าช่วงนั้นเขาออกทุกช่องเลย เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ของพวกเราคนไทย โดยเฉพาะทางภาคใต้ทีเดียวนะครับ ผมเองก็เป็นคนนึง ที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่กระบี่ หรือพังงา แต่ยังไม่เคยพักที่เขารักแบบจังๆนะครับ ใครที่เคยไปแล้วก็ฝาก Comment บอกแอดมินไว้ใต้ล่างคลิปได้เลยนะครับ เอาล่ะครับ สำหรับในวันนี้คงต้องขอตัวจากลากันไปก่อน เอาไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า กับเรื่องดีๆหล่อๆของผมกันอีก ส่วนในวันนี้คงต้องกล่าวคำว่า ราตรีสวัสดิ์ครับ ท่านสมาชิกที่รักทุกท่าน

See also  LA VELA Khao Lak (ลา เวล่า เขาหลัก) | ซอคเกอร์Vlog EP.26